ค่ายสฤษดิ์เสนา สั่งขัง ครูฝึก-ผบ.กองรักษาการณ์ 7 วัน กรณี พลทหารราเชน เสียชีวิต
ค่ายสฤษดิ์เสนา แจงกรณี พลทหารราเชน เสียชีวิต สั่งขัง ครูฝึก ยศร้อยโท และผบ.กองรักษาการณ์ ยศจ่าสิบเอก 7 วัน ฐานปล่อยปละละเลย ประมาทเลินเล่อ และบกพร่องต่อหน้าที่
เมื่อวันที่ 4 ธ.ค.2568 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า มูลนิธิผสานวัฒนธรรม เปิดเผยว่า เมื่อเวลา 13.00 น. วันที่ 2 ธ.ค.ที่ผ่านมา ตัวแทนมูลนิธิผสานวัฒนธรรม (CrCF) เข้าร่วมการประชุมกับคณะกรรมาธิการพัฒนาการเมือง การมีส่วนร่วมของประชาชน สิทธิมนุษยชน สิทธิ เสรีภาพและการคุ้มครองผู้บริโภค สมาชิกวุฒิสภา พร้อมรับฟังคำชี้แจงข้อเท็จจริงจากเจ้าหน้าที่ทหาร สังกัดหน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ หน่วยฝึกกรมรบพิเศษที่ 4 กรมรบพิเศษที่ 4 จังหวัดพิษณุโลก กรณี พลทหาราเชน ยวามื่อ เสียชีวิตภายในค่ายทหาร เมื่อวันที่ 11 พ.ย.2568 หลังเข้ารับการฝึกไม่ถึง 10 วัน
ในการประชุม กมธ.พัฒนาการเมืองฯ วุฒิสภานี้ ประกอบด้วยตัวแทนมูลนิธิผสานวัฒนธรรมและทนายความผู้รับมอบอำนาจของมารดาของผู้เสียชีวิต, อัยการ, เจ้าหน้าที่ทหารกรมรบพิเศษที่ 4 ค่ายสฤษดิ์เสนา ซึ่งเป็นต้นสังกัดของพลทหารราเชน เข้าให้ข้อมูลเกี่ยวกับลำดับเหตุการณ์การรับตัวพลทหารใหม่ การอบรม การฝึก การประเมินเรื่องสุขภาพ จนถึงวันที่ พลทหารราเชน เสียชีวิต
กองทัพบก แจงสาเหตุ พลทหาร เสียชีวิตในห้องน้ำ หลังเพิ่งเข้ากรมได้เพียง 10 วัน
และได้ชี้แจงถึงรายละเอียดที่ค่าย ได้เปิดเผยข้อมูลให้หน่วยงานรัฐ อาทิ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) , กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กระทรวงยุติธรรม และพนักงานอัยการ ศูนย์ป้องกันและปราบปรามการทรมานฯ จ.พิษณุโลกและได้เปิดพื้นที่ให้เข้าตรวจสถานที่เกิดเหตุภายในค่ายอีกด้วย

ค่ายสฤษดิ์เสนา
นอกจากนี้ตัวแทน ค่ายสฤษดิ์เสนา ชี้แจงให้ กมธ. การเมืองฯ ทราบด้วยว่า หลังจากเกิดเหตุทางค่ายไม่ได้นิ่งนอนใจ ได้ตรวจสอบข้อเท็จจริง และ มีคำสั่งลงโทษขังครูฝึกชั้นยศร้อยโทและผบ.กองรักษาการณ์ ชั้นยศจ่าสิบเอก 7 วัน ฐานปล่อยปละละเลย ประมาทเลินเล่อ และบกพร่องต่อหน้าที่ อีกทั้งค่าย ได้ดำเนินการติดกล้องวงจรปิดเพิ่มตามคำแนะนำของ กมธ. การทหารฯ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นอีก
ด้านตัวแทนอัยการจากสำนักงานอัยการสูงสุด ชี้แจงว่ากรณีการเสียชีวิตของพลทหารราเชน อาจจะไม่เข้าเงื่อนไขตาม พ.ร.บ. ป้องกันและปราบปรามการทรมานฯ เนื่องจากพลทหารราเชนไม่ได้เสียชีวิตโดยการควบคุมของเจ้าหน้าที่รัฐ ตามที่ค่ายชี้แจงมา จึงไม่ต้องแจ้งเจ้าหน้าที่ 4 ฝ่าย ได้แก่ พนักงานอัยการ ฝ่ายปกครอง แพทย์ และพนักงานสอบสวน ร่วมชันสูตรพลิกศพ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
อย่างไรก็ตาม มูลนิธิผสานวัฒนธรรม ตั้งข้อสังเกตว่า การพาตัวพลทหารราเชนกลับเข้ามาในค่าย หลังจากหลบหนีการเกณฑ์ทหาร พลทหารราเชนย่อมต้องถูกดำเนินคดีตามกฎระเบียบของทหาร ทว่าค่ายกลับปฏิเสธการควบคุมตัว และอ้างว่าในคืนเกิดเหตุดังกล่าว ได้ฝากตัวพลทหารไว้ที่ห้องรักษาการณ์ของค่ายเท่านั้น แต่ห้องดังกล่าวมีลักษณะเป็นลูกกรง มีเจ้าหน้าที่ทหารคอยเฝ้าตลอดเวลา
ซึ่งอาจเข้าข่ายเป็นการควบคุมตัว ตามมาตรา 3 พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานฯ ที่รวมถึงการจำกัดเสรีภาพของพลทหารในคืนวันเกิดเหตุ และหากพบว่าการเสียชีวิตของพลทหารราเชนมีลักษณะเป็นการควบคุมตัว จะต้องมีการตั้งสำนวนไต่สวนการตาย เพื่อพิสูจน์ว่า การเสียชีวิตดังกล่าวเกิดขึ้นด้วยสาเหตุใด และอยู่ภายใต้การดูแลของเจ้าหน้าที่รัฐคนใด ดังนั้นการตรวจสอบข้อเท็จจริงดังกล่าวจึงเป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่รัฐที่ต้องแสวงหาข้อเท็จจริงต่อไป
คดีนี้สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน 2568 มูลนิธิผสานวัฒนธรรม รับแจ้งเหตุจากเครือข่ายกลุ่มชาติพันธุ์ภาคเหนือว่าพลทหารราเชน ยวามื่อ ทหารกองประจำการผลัดที่ 2/2568 สังกัดหน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ หน่วยฝึกกรมรบพิเศษที่ 4 กรมรบพิเศษที่ 4 จังหวัดพิษณุโลก เสียชีวิตภายในค่ายทหาร หลังจากเข้ารับการฝึกไม่ถึง 10 วัน

พลทหาราเชน ยวามื่อ
จากนั้นทางมูลนิธิจึงร้องเรียนต่อศูนย์ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย ในพื้นที่เกิดเหตุ พร้อมพูดคุยกับครอบครัวของผู้เสียชีวิต ทราบว่าครอบครัวยังติดใจสาเหตุการเสียชีวิตและต้องการทราบความจริงที่เกิดขึ้นในช่วงก่อนการเสียชีวิต จึงนำมาสู่การพยายามแสวงหาข้อเท็จจริงโดยหน่วยงานต่างๆ
การเสียชีวิตของพลทหารราเชน ไม่ใช่กรณีการเสียชีวิตของทหารเกณฑ์ครั้งแรก แต่แทบทุกปีที่มีการเกณฑ์ทหาร มักจะมีการสูญเสียเช่นนี้เกิดขึ้นบ่อยครั้ง แม้ทางกองทัพจะพยายามออกมาตรการในการป้องกันเหตุ แต่ดูเหมือนว่าจะไม่สามารถยุติปัญหานี้ได้ สิ่งเหล่านี้สะท้อนให้เห็นปัญหาเชิงโครงสร้าง ที่มาตรการป้องกันต่างๆ ยังไม่สามารถเข้าถึงและแก้ไขปัญหาได้อย่างตรงจุด
มูลนิธิผสานวัฒนธรรมจึงขอเชิญชวนสื่อมวลชนและประชาชนที่สนใจ ร่วมกันติดตามกรณีของพลทหารราเชน อย่างใกล้ชิด รวมถึงกรณีพลทหารอื่นๆ ที่เสียชีวิตภายในค่ายทหาร เพื่อให้มั่นใจว่าจะมีการค้นหาความจริงโดยละเอียด และหากพบว่ามีเจ้าหน้าที่รัฐกระทำความผิดก็ต้องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ไม่ว่าจะอยู่ในตำแหน่งใด เพื่อนำไปสู่การป้องปรามไม่ให้เกิดเหตุการณ์การสูญเสียเช่นนี้อีกต่อไปในอนาคต